วันพฤหัสบดีที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2556

มหาชนกชาดก



                                           มหาชนกชาดก


                                 

     หนังสือ ชาดก และ ประวัติพุทธสาวก พุทธสาวิกา ของ พระมหาสุนทร สุนฺทรธมฺโม เพื่อใช้เป็นหนังสืออ่านประกอบรายวิชาพระพุทธศาสนา หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน ได้บรรจุชาดก เรื่อง มหาชนกชาดก ไว้ จึงขอนำมากล่าวถึงในที่นี้ เพื่อประโยชน์ต่อการศึกษา ดังนี้

      ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่วัดเชตวัน เมืองสาวัตถีทรงปรารภมหาภิเนกขัมมบารมีของพระองค์ ได้ตรัสอดีตนิทานมาสาทกว่า
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีพระราชาพระนามว่า มหาชนก ผู้ครองเมืองมิถิลาแคว้นวิเทหะ มีพระโอรส 2 พระองค์ คือ พระอริฏฐชนก ผู้พี่และพระโปลชนก ผู้น้อง ต่อมาเมื่อพระมหาชนกสวรรคตแล้วพระอริฏฐชนกขึ้นครองราชย์แทนและทรงตั้งพระโปลชนกเป็นพระอุปราช

    ในสมัยนั้นพระโพธิสัตว์กำนิดในครรภ์ของพระเทวีเพราะทรงเชื่อคำของอำมาตย์ผู้ใกล้ชิดพระอริฏฐชนกจึงจับพระโปลชนกขังไว้ด้วยเกรงจะชิงบัลลังก์ ต่อมาพระโปลชนกหนีออกไปได้จึงรวบรวมกำลังพลยกทัพมาชิงบัลลังก์คืน ในขณะที่เกิดภัยสงครามชิงราชบัลลังก์กัน พระเทวีปลอมพระองค์เป็นคนสามัญเสด็จหนีออกจากพระนครได้ทันเวลาก่อนที่พระเจ้าโปลชนกจะยกทัพเข้ายึดพระนครพระอินทร์ได้จำแลงเพศเป็นคนขับเกวียนนำส่งเสด็จพระนางจนถึงเมืองกาลจัมปากะภายในวันเดียว พระนางเข้าพักที่ศาลาริมทางแห่งหนึ่ง ขณะนั้นอาจารย์ทิศาปาโมกข์พร้อมกับศิษย์ 500 คน เดินทางมาพบเข้า เกิดความเมตตาสงสารจึงรับพระนางไว้เป็นน้องสาวแล้วพาไปอยู่กับครอบครัวตน

    ต่อมาไม่นานพระนางก็ประสูติพระราชโอรสทรงระลึกถึงความหลังจึงเอาพระนามของพระเจ้าปู่มาตั้งให้พระโอรสว่า มหาชนกมหาชนกกุมารเจริญวัยแล้วได้ไปเล่นกับเด็กอื่นๆ เมื่อคราวทะเลาะกับเด็กเหล่านั้นก็ถูกเรียกว่า เจ้าลูกกำพร้าทำให้พระองค์ทูลถามเรื่องชาติกำเนิดกับพระมารดาอยู่เนืองๆ เมื่อพระมารดาไม่บอก จึงคิดอุบายโดยทูลขอเสวยน้ำนมแล้วกัดเต้านมพระมารดาไว้แน่นพร้อมทั้งขอให้พระมารดาบอกความจริงเกี่ยวกับชาติกำเนิดของพระองค์ ในที่สุดพระมารดาก็บอกความจริงให้ทรงทราบ

    เมื่อพระองค์ทรงทราบความจริงแล้ว จึงคิดจะไปแย่งชิงราชสมบัติอันเป็นของพระบิดาคืนมาให้ได้ เพื่อแก้แค้นให้พระบิดา จากนั้นจึงทรงตั้งพระทัยศึกษาศิลปวิทยาทุกอย่างที่จะทำให้งานของพระองค์สำเร็จในภายหน้า พระองค์ได้ศึกษาจบเมื่อพระชนมายุได้ 16 พรรษา
เมื่อศึกษาศิลปวิทยาจบแล้ว พระมหาชนกมีพระประสงค์จะแสวงหาทรัพย์เพื่อเป็นกำลังในการชิงเอาราชสมบัติ และคิดจะขึ้นเรืองสำเภาไปแสวงหาโชคทางสุวรรณภูมิ จึงเข้าไปปรึกษาพระมาดาแต่ถูกห้ามไว้เพราะเห็นว่าการเดินทางออกทะเลนั้นมีอันตรายมาก แต่ในที่สุดพระมารดาก็ไม่อาจห้ามความตั้งใจจริงของพระโอรสได้ จึงประทานทูนทรัพย์สำหรับค้าขายให้แก่พระราชกุมาร
พระมหาชนกได้จัดซื้อสินค้าต่างๆ ลงบรรทุกเรือออกไปค้าขายทางทะเลพร้อมกับพ่อค้าประมาณ 700 คน ในวันเดียวกันนั้น ที่เมือง มิถิลาพระเจ้าโปลชนกก็ประชวรหนัก จนไม่สามารถเสด็จลุกขึ้นจากพระแท่นบรรทมได้
    เมื่อเรือออกแล่นฝ่าคลื่นสมุทรไปได้เพียง 3 วัน ก็พบกับพายุร้ายพัดโหมกระน่ำจนกระดานเรือแตกน้ำทะลักเข้าท้องเรือสุดจะแก้ไขได้ ขณะที่เรือกำลังจะอัปปางลงพวกพ่อค้าอื่นๆ ต่างก็ตกใจกลัวตายพากันร้องไห้คร่ำครวญ พากันบวงสรวงเทพดาวิงวอนให้ช่วยเหลือ ฝ่ายพระมหาชนกหาได้หวั่นพระทัยท้อแท้กลัวตายไม่ รีบเสวยอาหารให้อิ่มท้องแล้วเอาผ้าเนื้อเกลี้ยง 2 ผืน ชุบน้ำมันแล้วทรงนุ่งผืนหนึ่ง คาดเอวผืนหนึ่ง จากนั้นก็ปีป่ายขึ้นไปบนเสากระโดงเรือ กำหนดทิศทางอันเป็นที่ตั้งของเมืองมิถิลา แล้วกระโดดจากเสากระโดงเรือไปตกไกลจากที่เรืออับปาง พ้นจากพวกปลาร้าย เช่น ฉลาม เป็นต้น ที่เข้ามากินคนในเรือ ส่วนพ่อค้าคนอื่นๆ ต่างก็จมน้ำตายเป็นอาหารของปลาร้ายในทะเลบริเวณนั้น ในวันเดียวกันนั่นเองที่เมืองมิถิลา พระเจ้าโปลชนกก็ได้สวรรคต

                         
          พระมหาชนกทรงว่ายน้ำมหาสมุทรได้ 7 วันก็เป็นวันอุโบสถพอดี พระองค์จึงสมาทานอุโบสถศีล วันนั้นนางมณีเมขลาได้เหาะมาเที่ยวตรวจดูเหตุการณ์ในทะเล เมื่อพบกับพระมหาชนกกำลังว่ายน้ำทะเลอยู่ ทั้งที่จุดหมายยังอยู่ไกลแสนไกลจึงถามถึงสาเหตุที่ทำเช่นนั้น พระมหาชนกก็ชี้แจงว่า เป็นคนควรพยายามจนกว่าจะประสบความสำเร็จ แม้จะมีอุปสรรคยิ่งใหญ่เพียงใดก็ต้องพยายาม ผู้ที่พยายามอย่างเต็มที่แล้วบัณฑิตย่อมไม่ติเตียน พระองค์เชื่อมั่นว่าความพยายามย่อมไม่ไร้ผล เมื่อนางมณีเมขลาได้ฟังดังนั้นแล้วก็ให้ปลื้มปีติเป็นยิ่งนัก ครั้นทราบจุดมุ่งหมายของพระมหาชนกแล้ว ก็อุ้มพระมหาชนกเหาะมุ่งหน้าสู่เมืองมิถิลา พระมหาชนกเหนื่อยล้ามาตลอด 7 วัน จึงม่อยหลับไปในอ้อมแขนของนางมณีเมขลา

     ครั้นถึงเมืองมิถิลาแล้วนางมณีเมขลาก็วางพระมหาชนกลงบนพระแท่นหินในสวนมะม่วงแห่งหนึ่ง มอบหมายให้เทวดาที่เป็นเจ้าที่แห่งนั้นดูแลพระมหาชนกจนกว่าจะตื่นแล้วก็เหาะกลับวิมานของตน
ฝ่ายพระเจ้าโปลชนกมีพระธิดาเพียงพระองค์เดียว พระนามว่า สีวลี ก่อนที่พระองค์จะสวรรคตได้ทรงกำหนดชายผู้ที่จะมาเป็นพระสวามีของพระธิดา ซึ่งจะได้เป็นผู้สืบทอดราชบัลลังก์ต่อไป ต้องมีคุณสมบัติ 4 ประการ คือ

                           

1. สามารถทำให้พระธิดาพอพระทัย
2. รู้จักหัวนอนแห่งบัลลังก์ 4 เหลี่ยม
3. สามารถยกธนูที่หนักขนาดต้องอาศัยคนธรรมดาถึงพันคนจึงยกขึ้นได้
4. สามารถชี้ขุมทรัพย์ใหญ่ 16 แห่งได้
      หลังจากที่พระเจ้าโปลชนกสวรรคตแล้วก็ไม่มีชายใดมีคุณสมบัติครบทั้ง 4 ข้อ พวกอำมาตย์ทั้งหลายจึงปรึกษากันว่าไม่ควรปล่อยให้บ้านเมืองว่างจากกษัตริย์ ควรจะเสี่ยงรถหาคู่ให้พระราชธิดา จึงพากันแต่งราชรถสีขาว บนราชรถประดิษฐานเครื่องเบญจราชกกุธภัณฑ์ เทียมด้วยม้าสีขาว 4 ตัวแล้วปล่อยไป โดยกำหนดว่า หากรถวิ่งไปหยุดตรงชายใด ชายนั้นก็คือผู้ที่จะมาเป็นกษัตริย์แห่งกรุงมิถิลา พอราชรถวิ่งไปถึงพระแท่นที่พระมหาชนกบรรทมก็หยุดอยู่ พวกปุโรหิตจึงทูลเชิญพระองค์ขึ้นประทับรถพระที่นั่งเข้าสู่พระราชวัง แล้วทูลเชิญขึ้นประทับบนปราสาทอภิเษกพระองค์เป็นกษัตริย์แห่งกรุงมิถิลา และทันทีที่พระนางสีวลีทอดพระเนตรเห็นพระองค์ก็ทรงพอพระทัยยิ่งนัก จากนั้นพระองค์ได้ทำตามเงื่อนไขที่พระเจ้าโปลชนกได้ตั้งไว้ทั้ง 4 ข้อ ทำให้ข้าราชบริพารและชาวเมืองต่างก็พากันแซ่ซ้องสรรเสริญพระเกียรติคุณของพระองค์มาก แล้วจัดให้มีการอภิเษกสมรสกับเจ้าหญิงสีวลีเพื่อสืบราชบัลลังก์ต่อไป

      เมื่อพระมหาชนกครองราชสมบัติแล้วได้ส่งอำมาตย์เดินทางไปรับพระมารดา และอาจารย์ทิศาปาโมกข์มาอยู่ที่เมืองถิมิลา พระองค์ได้ปกครองเมืองโดยทศพิธราชธรรม โปรดให้สร้างโรงทานหลายแห่งบำรุงสมณพราหมณ์ทั่วราชอาณาจักร ในพระราชวังก็นิมนต์พระปัจเจกพุทธเจ้ามาฉันภัตตาหารเป็นประจำ เมื่อพระองค์มีพระราชโอรสนามว่า ทีฆาวุราชกุมาร แล้วทรงตั้งให้เป็นพระอุปราช และมอบหมายให้ว่าราชการสำคัญแทนพระองค์เสมอ
วันหนึ่ง พระเจ้ามหาชนกเสด็จไปทอดพระเนตรสวนหลวง ระหว่างทางพบต้นมะม่วง 2 ต้นมีใบเขียวชะอุ่ม ต้นหนึ่งมีผลดก อีกต้นหนึ่งไม่มีผล ประทับบนคอช้างนั่นเองทรงเก็บเอาผลมะม่วงผลหนึ่งมาเสวยก็ทราบว่าเป็นมะม่วงที่มีโอชารสยิ่ง ตั้งพระทัยว่าเมื่อเสด็จกลับจะมาเสวยอีก แต่พอเสด็จกลับก็ทรงพบว่าต้นมะม่วงนั้นถูกโค่นหักรานกิ่งใบจนย่อยยับไม่เหลือแม้แต่ผลเดียว จึงสอบถามหาสาเหตุ พวกอำมาตย์จึงกราบทูลให้ทราบว่า เมื่อมหาชนทราบว่าพระราชาเสวยมะม่วงแล้ว ต่างก็แย่งกันกินผลมะม่วงนั้นจนต้นถูกทำลายย่อยยับไป ทำให้พระองค์ทรงสลดพระทัยเป็นอย่างยิ่ง

                    

            ในขณะเดียวกันทรงสังเกตเห็นต้นมะม่วงอีกต้นหนึ่งที่ไม่มีผลยืนต้นอยู่อย่างสง่างาม ทรงพิจารณาเปรียบเทียบว่า ต้นมะม่วงที่มีผลเปรียบได้กับความเป็นกษัตริย์ ซึ่งมีการแก่งแย่งเบียดเบียนทะเลาะเบาะแว้งแสวงหาผลประโยชน์ก่อทุกข์ไม่สิ้นสุด ส่วนการบรรพชาที่มีความสงบปราศจากโทษและความวุ่นวายเปรียบได้กับต้นมะม่วงที่ไม่มีผล จึงมีพระทัยน้อมไปในการบรรพชา เมื่อเสด็จกลับเข้าสู่พระนครแล้วก็ทรงมอบพระราชกิจต่างๆ ให้พระราชโอรสและเสนาอำมาตย์ช่วยกันบริหาร ส่วนพระองค์เสด็จขึ้นสู่ปราสาทบำเพ็ญสมณธรรม โดยมิให้ผู้ใดรบกวน ทรงปฏิบัติเช่นนี้อยู่ในพระราชวังตลอด 4 เดือน ในที่สุดก็ปลงพระทัยสละราชสมบัติออกผนวชในป่าใหญ่แห่งหนึ่ง

     พระองค์พอพระทัยในการบวชอย่างยิ่งถึงกับเปล่งอุทานว่า การบวชเป็นความสุขแท้จริงหนอ เมื่อพระนางสีวลีทราบว่าพระสวามีเสด็จออกผนวช จึงรีบตามเสด็จไปกราบทูลชักชวนให้เสด็จกลับและใช้กุสโลบายต่างๆ เพื่อให้พระสวามีเปลี่ยนพระทัย แต่ก็ไม่อาจทำให้พระมหาชนกเปลี่ยนพระทัยได้ เพราะพระองค์ได้ทรงพบว่า ชีวิตที่มีความสุขที่แท้จริง คือ ชีวิตที่สงบเรียบง่าย ทั้งได้รับโอวาทธรรมจากพระดาบสผู้ทรงฌานอยู่เสมอ ทำให้พระองค์มีพระทัยไม่หวั่นไหวมีวิริยะอุตสาหะบำเพ็ญสมณธรรมให้ยิ่งๆ ขึ้นไป ส่วนพระนางสีวลีเมื่อไม่อาจทำให้พระสวามีเปลี่ยนพระทัยได้ จึงเสด็จกลับพระนครและบำเพ็ญพระองค์เป็นนักบวชอยู่ในพระราชอุทยานแห่งกรุงมิถิลานั่นเองตราบสิ้นชีวิต

ชาดกเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า เกิดเป็นคนควรพยายามร่ำไป อย่าท้อถอย สิ่งที่หวังไว้ย่อมสำเร็จได้ เข้าทำนอง ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั้น

 แหล่งที่มา : http://mediacenter.mcu.ac.th



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น