วันพฤหัสบดีที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2556

การบริหารจิตและการเจริญปัญญา


                                     การบริหารจิตและการเจริญปัญญา




การบริหารจิต หมายถึง การบำรุงรักษาจิตให้มีความเข็มแข็ง มีพลังและมีประสิทธิภาพ ซึ่งปกติจิตของบุคคลทั่วไป จะเปลี่ยนแปลงไปตามสิ่งที่มากระทบอยู่ตลอดเวลา ทำให้จิตฟุ้งซ่าน เหนื่อยล้า วิธีบำรุงรักษา คือ การทำให้จิตสงบนิ่งอยู่กับเรื่องใดเรื่องหนึ่งเพียงเรื่องเดียว ไม่คิดถึงเรื่องอื่นในขณะนั้น ซึ่งเรียกว่า จิตเป็นสมาธิมื่อจิตเป็นสมาธิ ความสงบ ความมั่นคง และความเข็มแข็งก็จะเกิดขึ้น ที่สำคัญคือ ปัญญาซึ่งเป็นความรู้ความเข้าใจตามสภาพความเป็นจริงก็จะเกิดขึ้นตามมาด้วย
การเจริญปัญญา หมายถึง การฝึกฝนอบรมหรือการพัฒนาตนให้เกิดปัญญา 3 ประการ ได้แก่ ปัญญาที่เกิดจากการฟัง การอ่านหรือการศึกษาเล่าเรียน ปัญญาที่เกิดจากการคิดพิจารณาและปัญญาที่เกิดจากการลงมือปฏิบัติ ซึ่งปัญญาทั้ง 3 นี้ต้องอาศัยจิตที่เป็นสมาธิเป็นพื้นฐานทั้งสิ้นจึงจะเกิดขึ้นได้อย่างสมบรูณ์
 การบริหารจิตในทางพุทธศาสนามี 2 อย่าง
1สมถกรรมฐานหรือสมาธิภาวนา คือการฝึกจิตให้เกิดความสงบ เรียกว่า สมาธิ
2วิปัสสนากรรมฐาน คือการฝึกอบรมจิตให้เกิดปัญญา เป็นความรู้แจ้งเห็นจริงตามสภาพที่เป็นจริ
สติปัฏฐาน หมายถึง การตั้งสติกำหนดพิจารณาสิ่งต่างๆ ให้รู้และเข้าใจตามที่เป็นจริง มี 4 อย่าง คือ
1. การตั้งสติพิจารณากาย (กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน) หมายถึง การมีสติกำหนดรู้อย่างเท่าทันในเรื่องของกายและอิริยาบถของร่างกาย
ให้รู้เห็นตามเป็นจริงว่าเป็นแต่เพียงกาย ไม่ใช่สัตว์บุคคลเราเขา มีวิธีปฏิบัติหลายวิธี คือ
             - อานาปานสติ  คือ การกำหนดลมหายใจเข้าออก
             - อิริยาบถ คือ การกำหนดรู้ทันอาการยืน เดิน นั่ง นอน
             - สัมปชัญญะ คือ การสร้างสัมปชัญญะในการกระทำความเคลื่อนไหวทุกอย่างของกาย
             - ปฏิกูลมนนิการ คือ การพิจารณาส่วนประกอบอันไม่สะอาดทั้งหลายที่ประชุมเข้าเป็นร่างกายนี้
             - ธาตุมนสิการ  คือ การพิจารณาเห็นร่างกายของตนโดยเห็นว่าเป็นธาตุแต่ละอย่างมารวมกัน
             - นวสีวถิกา  คือ การพิจารณาซากศพในสภาพต่างๆ อันแปลกกันไปใน 9 ระยะเวลา ให้เห็นคติธรรมของร่างกายของ                          ผู้อื่นเช่นใด ของตนก็จักเป็นเช่นนั้น
2. การตั้งสติกำหนดพิจารณาเวลา (เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน) หมายถึง การมีสติกำหนดรู้อย่างเท่าทันเรื่องเวทนา เมื่อเกิดความรู้สึกสุข ทุกข์ หรือเฉยๆ ก็รู้ตามที่เป็นอยู่ในขณะนั้นๆ ในขณะเดินจงกรมและนั่งสมาธิอยู่นั้น เมื่อมีเวทนาต่างๆ เกิดขึ้น เช่น เจ็บปวด เมื่อย คัน ชา เป็นต้น ให้ตั้งสติกำหนดตามความรู้สึกนั้นๆ ว่า เจ็บหนอ ปวดหนอ เมื่อยหนอ คันหนอ ชาหนอ จนกว่าความรู้สึกนั้นจะหายไป และเมื่อความรู้สึกนั้นหายไปแล้ว ให้กลับมากำหนด พองยุบเหมือนเดิม
3. การตั้งสติสติกำหนดพิจารณาจิต (จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน) หมายถึง การมีสติกำหนดรู้ทันสภาพหรืออาการของจิตว่า จิตในขณะนั้นๆ เป็นอย่างไร ก็รู้ตามที่มันเป็นอยู่ในขณะนั้นๆและให้รู้เห็นตามเป็นจริงว่า เป็นแต่เพียงจิต ไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนเราเขา มีสติรู้ชัดจิตของตนที่มีราคะ ไม่มีราคะ มีโทสะ ไม่มีโทสะ มีโมหะ ไม่มีโมหะ เศร้าหมองหรือผ่องแผ้ว ฟุ้งซ่านหรือเป็นสมาธิ ฯลฯ เช่น ในขณะเดินจงกรมและนั่งสมาธิ เมื่อจิตคิดถึงเรื่องต่างๆ ให้ตั้งสติกำหนดที่ลิ้นปี่ว่า คิดหนอ เมื่อจิตเกิดความยินดีหรือชอบใจขึ้น ให้กำหนดว่า ยินดีหนอ ชอบใจหนอ เมื่อจิตโกรธ กำหนดว่า โกรธหนอ 
4. การตั้งสติกำหนดพิจารณาธรรม (ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน) หมายถึง การมีสติกำหนดรู้ทันสิ่งที่ปรากฏการณ์ หรืออารมณ์ ที่เกิดกับจิตที่คิดเป็นกุศล อกุศล หรือที่เป็นกลางๆ (ชี้ขาดลงมิได้ว่าเป็นกุศลหรืออกุศล) อาศัยเหตุปัจจัยที่เกิดขึ้น เมื่อเหตุปัจจัยดับไป สิ่งปรากฏการณ์ หรืออารมณ์นั้น ก็ดับไปด้วย ไม่มีสิ่งใดมีตัวตนที่แท้จริง
การแผ่เมตตา และการอุทิศส่วนกุศล >>> ทุกครั้งที่ฝึกบริหารจิตและเจริญปัญญา ควรมีการแผ่เมตตาและอุทิศส่วนกุศล


                                                   


วิธีการบริหารจิต การตั้งสติกำหนดพิจารณากายในอิริยาบถนั่ง โดยการกำหนดลมหายใจเข้า-ออก ที่เรียกว่า อานาปานสติ
ขั้นเตรียม
1.เลือกสถานที่ที่เหมาะสม เช่น สถานที่ปลอดโปร่งไม่มีเสียงรบกวน 2.เลือกเวลาที่เหมาะสม เช่น ตอนเช้า ก่อนนอน เวลาที่ใช้ไม่ควรนานเกินไป3.สมาทานศีล เป็นการแสดงเจตนาเพื่อทำใจให้บริสุทธิ์สะอาด4.นมัสการพระรัตนตรัยและสวดมนต์สรรเสริญคุณพระรัตนตรัย5.ตัดความกังวลต่างๆ ออกไป
ขั้นตอนปฏิบัติ 
1.นั่งท่าสมาธิ คือ นั่งขัดตะหมาด เท้าขวาทับเท้าซ้าย มือขวาวางทับมือซ้าย ตั้งตัวตรง ดำรงสติมั่น2.หลับตาหรือลืมตาก็ได้ อย่างไหนได้ผลดีก็ปฏิบัติอย่างนั้น  3.กำหนดรู้ลมหายใจเข้า-ออก ลมหายใจกระทบตรงไหนก็รู้ชัดเจนให้กำหนดตรงจุดนั้น  4.เมื่อลมหายใจ-ออก จะกำหนดภาวนาด้วยหรือไม่ก็ได้ แล้วแต่บุคคลที่ปฏิบัติ5.ปฏิบัติไปเรื่อยๆ จนได้เวลาพอควรแก่ร่างกาย จึงออกจากการปฏิบัติ6.แผ่เมตตาให้ตนเองและสรรพสัตว์ทั้งหลาย
                การปฏิบัติระยะแรกๆ จิตอาจฟุ้งซ่าน สงบได้ยาก หรือไม่นาน ต้องใช้ความเพียรพยายาม หมั่นฝึกปฏิบัติบ่อยๆ จิตจึงจะค่อยสงบตามลำดับ ผลที่จะเกิดขึ้นตามมา คือ จิตใจสงบ เยือกเย็น แจ่มใส เบิกบาน มั่งคง เข้มแข็ง  มีพลัง มีความจำดีขึ้น และที่สำคัญ คือ ปัญญาก็จะเกิดขึ้นตามมาด้ว
{ มีความหมายของการเจริญปัญญาแทรก} การเจริญปัญญาตามหลักโยนิโสมนสิการ
   โยนิโสมนสิการ  แปลว่า  การทำไว้ในใจโดยแยบคาย  หมายถึง  การใช้ความคิดที่ถูกวิธี  กล่าวคือ  มองสิ่งทั้งหลายด้วยความคิด  พิจารณาสืบค้นคิดหาเหตุผล  ตลอดจนแยกแยะและวิเคราะห์ปัญหาด้วยปัญญา  มองปัญหาตามความเป็นจริง  หรือมองสิ่งทั้งหลายตามสภาวะและความสัมพันธ์แห่งเหตุปัจจัย

   ด้วยเหตุนี้พระพุทธศาสนาจึงสอนว่าการศึกษาที่แท้จริงจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมนุษย์รู้จักคิดวิเคราะห์อย่างรอบคอบและรอบด้าน  จนเข้าใจปัญหาต่างๆ  ตามสภาพความเป็นจริง  เรียกว่า  การคิดแบบโยนิโสมนสิการ  ซึ่งมี  ๑๐  วิธีคิดด้วยกัน คือ
๑)  คิดแบบแยกแยะส่วนประกอบหรือการกระจายเนื้อหา เป็นการคิดที่มุ่งให้มองและให้รู้จักสิ่งทั้งหลายตามสภาวะของมันเอง ในทางธรรม ใช้พิจารณาเพื่อให้เห็นความไม่มีแก่นสารหรือความไม่เป็นตัวเป็นตนที่แท้จริงของสิ่งหลาย
2.คิดแบบคุณโทษและทางออก หรือพิจารณาให้เห็นครบทั้ง อัสสาทะ อาทีนวะ และนิสสรณะ เป็นการมองสิ่งทั้งหลายตามความเป็นจริงอีกแบบหนึ่ง ซึ่งเน้นการยอมรับความจริงตามที่สิ่งนั้นเป็นอยู่ทุกแง่ทุกด้าน ทั้งด้านดีและด้านเสีย และเป็นวิธีคิดที่ต่อเนื่องกับการปฏิบัติมาก เช่น บอกว่าก่อนจะแก้ปัญหาจะต้องเข้าใจปัญหาให้ชัดเจน และรู้ที่ไปให้ดีก่อน หรือก่อนจะละจากสิ่งหนึ่งไปหาอีกสิ่งหนึ่ง ต้องรู้จักทั้งสองฝ่ายดีพอที่จะให้เห็นได้ว่าการละและไปหานั้น หรือการทิ้งอย่างหนึ่งไปเอาอีกอย่างหนึ่งเป็นการกระทำที่รอบคอบสมควรและดีจริง  อัสสาทะ แปลว่า ส่วนดี ส่วนอร่อย คุณ คุณค่า ข้อที่น่าพึงพอใจ  อาทีนวะ แปลว่า ส่วนเสีย ข้อเสีย ช่องเสีย โทษ ข้อบกพร่อง  นิสสรณะ แปลว่า ทางออก ทางรอด ภาวะหลุดรอดปลอดพ้น ภาวะที่ปราศจากปัญหา  การคิดแบบนี้มีลักษณะ 2 ประการ
 - การที่จะชื่อว่ามองเห็นตามเป็นจริงนั้น จะต้องมองเห็นทั้งด้านดี ด้านเสีย หรือทั้งคุณและโทษของสิ่งนั้นๆ ไม่มองแต่ด้านดีหรือคุณอย่างเดียวและไม่ใช่เห็นแต่โทษหรือด้านเสียอย่างเดียว
 - เมื่อจะแก้ปัญหา ปฏิบัติ หรือดำเนินวิธีออกไปจากภาวะที่ไม่พึงประสงค์อย่างใดอย่างหนึ่ง เพียงรู้คุณโทษ ข้อดีข้อเสียของสิ่งที่เป็นปัญหาหรือภาวะที่ไม่ต้องการเท่านั้น ยังไม่เพียงพอ จะต้องมองเห็นทางออก มองเห็นจุดหมายและรู้ว่าจุดหมายหรือที่จะไปนั้น คืออะไร คืออย่างไร ดีกว่าและพ้นจากข้อบกพร่อง จุดอ่อน โทษอย่างไร
3.คิดแบบสืบสาวเหตุปัจจัย คือ การพิจารณาปรากฏการณ์ที่เป็นผล ให้รู้จักสภาวะที่เป็นจริง หรือพิจารณาปัญหา หาหนทางแก้ไข ด้วยการค้นหาสาเหตุและปัจจัยต่างๆ ที่สัมพันธ์ส่งผลสืบทอดกันมา อาจเรียกว่า วิธีคิดแบบอิทัปปัจจยตา หรือคิดตามหลักปฏิจจสมุปบาท
4.คิดแบบอรรถสัมพันธ์ (คิดหลักการกับความมุ่งหมาย) คือ พิจารณาให้เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่าง ธรรมกับ อรรถ หรือ หลักการกับความมุ่งหมาย เป็นความคิดที่มีความสำคัญมาก ในเมื่อจะลงมือปฏิบัติธรรมหรือทำการตามหลักการอย่างใดอย่างหนึ่ง เพื่อให้ได้ผลตรงตามความมุ่งหมายไม่กลายเป็นการกระทำที่เคลื่อนคลาด เลื่อนลอย หรืองมงาย หลักการ คือ หลักความจริง หลักความดีงาม หลักการปฏิบัติ หรือหลักที่จะเอาไปใช้ปฏิบัติ รวมทั้งหลักคำสอนที่จะให้ประพฤติปฏิบัติและกระทำการได้ถูกต้อง คำว่า อรรถ (ความมุ่งหมาย จุดหมาย ประโยชน์ที่ต้องการ หรือสาระที่พึงประสงค์ หมายถึง การกระทำการตามหลักการใด ก็ตาม จะต้องเข้าใจความหมายหรือความมุ่งหมายของสิ่งนั้นๆ ว่าปฏิบัติหรือทำไปเพื่ออะไร จะนำไปสู่ผลหรือที่หมายใดบ้าง ทั้งจุดหมายสุดท้ายปลายทาง
5.คิดแบบแก้ปัญหา(วิธีคิดแบบอริยสัจจ์) เรียกตามโวหารทางธรรมได้ว่า วิธีคิดแห่งความดับทุกข์ จัดเป็นวิธีคิดแบบหลักอย่างหนึ่ง เพราะสามารถขยายให้ครอบคลุมวิธีคิดแบบอื่นๆได้ทั้งหมด มีลักษณะทั่วไป 2 ประการคือ
  - วิธีคิดตามเหตุและผล หรือเป็นไปตามเหตุและผล คือ สืบสาวจากผลไปหาเหตุแล้วแก้ไขและทำการที่ต้นเหตุ จัดเป็น 2 คู่คือ
          คู่ที่ 1 ทุกข์เป็นผล เป็นตัวปัญหา เป็นสถานการณ์ที่ประสบซึ่งไม่ต้องการสมุทัยเป็นเหตุ เป็นที่มาของปัญหา เป็นจุดที่จะต้องกำจัดหรือแก้ไข จึงจะพ้นจากปัญหาได้
           คู่ที่ 2 นิโรธ เป็นผล เป็นภาวะสิ้นปัญหา เป็นจุดหมายซึ่งต้องการจะเข้าถึงมรรคเป็นเหตุ เป็นวิธีการ เป็นข้อปฏิบัติที่ต้องกระทำในการแก้ไขสาเหตุ เพื่อบรรลุจุดหมายคือ ภาวะสิ้นปัญหาอันได้แก่ความทุกข์
   - วิธีคิดที่ตรงจุดตรงเรื่อ ตรงไปตรงมา มุ่งตรงต่อสิ่งที่จะต้องทำต้องปฏิบัติต้องเกี่ยวข้องของชีวิต ใช้แก้ปัญหา ไม่ฟุ้งซ่านออกไปในเรื่องฟุ้งเฟ้อที่สักว่าคิดเพื่อสนองตัณหามานะทิฏฐิ 
6.คิดแบบรู้เท่าทันธรรมดา (คิดแบบสามัญลักษณ์) คือมองอย่างรู้เท่าทันความเป็นไปของสิ่งทั้งหลาย ซึ่งจะต้องเป็นอย่างนั้นๆ ตามธรรมดาของมันเอง ในฐานะที่มันเป็นสิ่งซึ่งเกิดจากเหตุปัจจัยต่างๆ ปรุงแต่งขึ้น จะต้องเป็นไปตามเหตุปัจจัย
       - รู้เท่าทันและยอมรับความจริง , - รู้เท่าทันและแก้ไขและทำการไปตามเหตุปัจจัย
7.คิดแบบคุณค่าแท้-คุณค่าเทียม การคิดพิจารณาเกี่ยวกับการใช้สอยบริโภค เป็นวิธีคิดแบบสกัดหรือบรรเทาความต้องการ ไม่ใช้เข้าครอบงำจิตแล้วชักจูงพฤติกรรมต่อๆไป วิธีคิดแบบใช้กันมากในชีวิตประจำวัน เพราะเกี่ยวข้องกับการบริโภคใช้สอยปัจจัย 4 และวัสดุอุปกรณ์อำนวยความสะดวกต่างๆ มีหลักการโดยย่อว่า คนเราเข้าไปเกี่ยวข้องกับสิ่งต่างๆ เพราะเรามีความต้องการและเห็นว่าสิ่งนั้นๆ จะสนองความต้องการเขาเราได้ สิ่งใดสามารถสนองความต้องการของเราได้ สิ่งนั้นก็มีคุณค่าแก่เรา หรือที่เรานิยมเรียกว่ามันมีประโยชน์ จำแนกได้เป็น 2 ประการ
     - คุณค่าแท้ หมายถึง ความหมาย คุณค่า หรือประโยชน์ของสิ่งทั้งหลาย ที่สนองความต้องการของชีวิตโดยตรง หรือที่คนเรานำมาใช้แก้ปัญหาของตนเพื่อความดีงาม ความดำรงอยู่ด้วยดีของชีวิตหรือเพื่อประโยชน์สุขทั้งของตนเองและผู้อื่น คุณค่านี้อาศัยปัญหาเป็นเครื่องตีค่าหรือวัดราคา เช่น อาหารมีคุณค่าอยู่ที่ประโยชน์สำหรับหล่อเลี้ยงร่างกาย ให้ดำรงชีวิตอยู่ได้ มีสุขภาพดี เป็นอยู่ผาสุก มีกำลังเกื้อกูลแก่การบำเพ็ญกิจหน้าที่
     - คุณค่าพอกเสริม หรือคุณค่าเทียม หมายถึง หมายความ คุณค่า หรือประโยชน์ของสิ่งทั้งหลายที่มนุษย์พอกพูนให้แก่สิ่งนั้น เพื่อปรนเปรอการเสพเสวยเวทนา าหรือเพื่อเสริมราคาเสริมขยายความมั่นคงยิ่งใหญ่ของตัวตนที่ยึดถือไว้ เช่น อาหารมีคุณค่าอยู่ที่ความเอร็ดอร่อย เสริมความสนุกสนาน เป็นเครื่องแสดงฐานะความโก้หรูหรา 
8. คิดแบบปลุกเร้าคุณธรรม หรือ คิดแบบสร้างสรรค์ มีความสำคัญที่ทำให้เกิดความคิดและการกระทำที่ดีงามเป็นประโยชน์ในขณะนั้นๆ และในแง่ที่ช่วยแก้ไขนิสัยความเคยชินร้ายๆ ของจิตที่ได้สั่งสมไว้แต่เดิม พร้อมกับสร้างนิสัยความเคยชินใหม่ๆ ที่ดีงามให้แก่จิตไปในเวลาเดียวกัน
9. คิดแบบเป็นอยู่ในขณะปัจจุบัน หรือคิดแบบมีปัจจุบันธรรมเป็นอารมณ์ คือ การคิดที่สติระลึกรู้อยู่กับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น กำลังเป็นไปอยู่ กำลังรับรู้ หรือกำลังกระทำในปัจจุบันทันทุกๆ ขณะ10.คิดแบบแยกประเด็น การคิดแบบแยกแยะออกให้เห็นแต่ละแง่ละด้านครบทุกแง่ทุกด้าน ไม่ใช้จับเอาแง่หนึ่งแง่เดียว แล้วมาวินิจฉัยตีคลุมลงไปอย่างนั้นทั้งหมด หรือประเมินคุณค่าความดีความชั่วเป็นต้น   ๑๐)  คิดแบบแยกประเด็ {มีแผ่เมตตาแทรก}
ประโยชน์ของการบริหารจิตและการเจริญปัญญาตามหลักสติปัฏฐาน 4
การบริหารจิตและการเจริญปัญญาตามหลักสติปฏิฐาน 4 มีผลดีหรือประโยชน์ต่อผู้ฝึกฝนอบรมหลายประการ ซึ่งแยกกล่าวได้ดังนี้
ประโยชน์ของการบริหารจิต        การบริหารจิตอยู่เป็นประจำ ย่อมได้รับประโยชน์ในด้านต่างๆ ดังนี้
ด้านการดำรงชีวิตประจำวัน ได้แก่ การทำจิตใจสบาย ไม่มีความวิตกกังวล ความเครียด มีความจำดีขึ้น แม่นยำขึ้น ทำสิ่งต่างๆ ไม่ผิดพลาดหรือผิดพลาดน้อย เพราะมีสติสมบูรณ์ขึ้น การศึกษาเล่าเรียนและการทำงาน เกิดผลดีและมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ การมีจิตเป็นสมาธิ ยังทำให้นอนหลับง่ายและหลับสนิท รวมทั้งมีผลเกื้อกูลต่อสุขภาพร่างกายเช่นชะลอความแก่ ทำให้ดูอ่อนกว่าวัยและรักษาโรคบางอย่างได้ เช่นโรคความดันโรคกระเพาะอาหารเป็นต้น      ประโยชน์ต่อสังคม กล่าวโดยสรุป ถ้าทุกคนในสังคมมีปัญญา คิดดี ทำดี และพูด
ด้านการพัฒนาบุคลิกภาพ ได้แก่ ทำให้บุคลิกภาพเข็มแข็ง หนักแน่นมั่นคง สงบเยือกเย็น ไม่ฉุนเฉียวเกรี้ยวกราด มีความสุภาพอ่อนโยน ดูสง่ามีราศี องอาจน่าเกรงขาม มีอารมณ์เบิกบาน ยิ้มแย้มแจ่มใส กระฉับกระเฉง กระปรี้กระเปร่า ไม่เซื่องซึม สามารถควบคุมอารมณ์และพฤติกรรมในสถานการณ์ต่างๆ ได้           ไม่ปล่อยให้อารมณ์อยู่เหนือเหตุผล ปัญหาต่างๆ เช่น ความขัดแย้ง การแบ่งแย่งชิงดี ชิงเด่น การทะเลาะวิวาท
ด้านประโยชน์สูงสุด ได้แก่ การบรรลุมรรคและนิพพาน ซึ่งเป็นเป้าหมายสูงสุดของพระพุทธศาสนา ผู้ที่จะบรรลุถึงประโยชน์ระดับนี้ได้นั้น ต้องมีจิตที่สงบแน่วแน่มาก คือ ต้องได้สมาธิระดับสูง       การคดโกง ก็ลดลง สังคมก็สงบเรียบร้อยอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข 
ประโยชน์ของการเจริญปัญญา       ผู้ที่ฝึกฝนอบรมหรือพัฒนาตนให้มีปัญญาย่อมได้รับประโยชน์ ดังนี้
ด้านประโยชน์ต่อตนเอง เช่น ทำให้เป็นคนที่มีเหตุผลและใช้เหตุผลวิเคราะห์สิ่งต่างๆ จนเกิดความรู้ความเข้าใจสิ่งนั้นๆ อย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง รู้จักอะไรถูก อะไรผิด อะไรดี อะไรชั่ว อะไรเป็นธรรม อะไรไม่เป็นธรรม ช่วยให้เราเลือกทำตามความชอบธรรมมากกว่าอารมณ์ ทำให้วิถีชีวิตโดยส่วนรวมเป็นระเบียบและดีงาม ประโยชน์ต่อตนเองที่สำคัญที่สุด คือ ช่วยให้หลุดพ้นจากกิเลส เพราะมีปัญญารู้เท่ากิเลสต่างๆ ทำให้กำจัดละวางกิเลสเหล่านั้นได้
  

แหล่งที่มา :
                     ศิริพร ดาบเพชร  คมคาย มากบัว และประจักษ์ แป๊ะสกุล. พิมพ์ครั้งที่ 1. กรุงเทพฯ : อักษรเจริญทัศน์.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น