หลักเศรษฐกิจพอเพียง
หลักเศรษฐกิจพอเพียง
หลักเศรษฐกิจพอเพียง คือ
การพัฒนาที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของทางสายกลาง และความไม่ประมาท
โดยคำนึงถึงความพอประมาณ ความมีเหตุผล การสร้างภูมิคุ้มกันที่ดีในตัว
ตลอดจนใช้ความรู้ความรอบคอบ และคุณธรรม ประกอบการวางแผนการตัดสินใจ
และการกระทำปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง มีหลักพิจารณาอยู่ 5 ส่วน ดังนี้
กรอบแนวคิด
เป็นปรัชญาที่ชี้แนะแนวทางการดำรงอยู่ และปฏิบัติตนในทางที่ควรจะเป็น
โดยมีพื้นฐานมาจากวิถีชีวิตดั้งเดิมของสังคมไทย สามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้ตลอดเวลา
และเป็นการมองโลกเชิงระบบที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
และเป็นการมองโลกเชิงระบบที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา มุ่งเน้นการรอดพ้นจากภัย
และวิกฤต เพื่อความมั่นคง และความยั่งยืนของการพัฒนา
คุณลักษณะ
เศรษฐกิจพอเพียงสามารถนำมาประยุกต์ใช้กับการปฏิบัติตนได้ในทุกระดับ
โดยเน้นการปฏิบัติบนทางสายกลาง และการพัฒนาอย่างเป็นขั้นตอนคำนิยาม
ความพอเพียงจะต้องประกอบด้วย 3
คุณลักษณะ พร้อม ๆ กันดังนี้
ความพอประมาณ หมายถึง
ความพอดีที่ไม่น้อยเกินไป และไม่มากเกินไปโดยไม่เบียดเบียนตนเอง และผู้อื่น
เช่นการผลติ และการบริโภคที่อยู่ในระดับพอประมาณ
ความมีเหตุผล หมายถึง
การตัดสินใจเกี่ยวกับระดับของความพอเพียงนั้น จะต้องเป็นไปอย่างมีเหตุผล
โดยพิจารณาจากเหตุปัจจัยที่เกี่ยวข้องตลอดจนคำนึงถึงผลที่คาดว่าจะเกิดขึ้น
จากการกระทำนั้น ๆ อย่างรอบคอบ
การมีภูมิคุ้มกันที่ดีในตัว หมายถึง
การเตรียมตัวให้พร้อมรับผลกระทบและการเปลี่ยนแปลงด้านต่าง ๆ
ที่จะเกิดขึ้นโดยคำนึงถึงความเป็นไปได้ของสถานการณ์ ต่าง ๆ
ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคตทั้งใกล้ และไกล
เงื่อนไข
การตัดสินใจและการดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ให้อยู่ในระดับพอเพียงนั้น
ต้องอาศัยทั้งความรู้ และคุณธรรมเป็นพื้นฐาน กล่าวคือแนวทางปฏิบัติ /
ผลที่คาดว่าจะได้รับ จากการนำปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาประยุกต์ใช้ คือ
การพัฒนาที่สมดุล และยั่งยืน พร้อมรับต่อการเปลี่ยนแปลงในทุกด้าน ทั้งด้านเศรษฐกิจ
สังคม สิ่งแวดล้อม ความรู้ และเทคโนโลยี
เงื่อนไขความรู้ ประกอบด้วย
ความรอบรู้เกี่ยวกับวิชาการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องอย่างรอบด้าน
ความรอบคอบที่จะนำความรู้เหล่านั้นมาพิจารณาให้เชื่อมโยงกัน เพื่อประกอบการวางแผน
และความระมัดระวังในขั้นปฏิบัติ
เงื่อนไขคุณธรรม
ที่จะต้องเสริมสร้างประกอบด้วย มีความตระหนักในคุณธรรม มีความซื่อสัตย์สุจริต
และมีความอดทน มีความเพียร ใช้สติปัญญาในการดำเนินชีวิต
แนวทางปฏิบัติ / ผลที่คาดว่าจะได้รับ
จากการนำปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาประยุกต์ใช้ คือ การพัฒนาที่สมดุล และยั่งยืน
พร้อมรับต่อการเปลี่ยนแปลงในทุกด้าน ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม ความรู้
และเทคโนโลยี
หลักเศรษฐกิจพอเพียง

เศรษฐกิจพอเพียงกับทฤษฎีใหม่ตามแนวพระราชดำริ
เศรษฐกิจพอเพียงความหมายกว้างกว่าทฤษฎีใหม่
โดยที่เศรษฐกิจพอเพียงเป็นกรอบแนวคิดที่ชี้บอกหลักการ
และแนวทางปฏิบัติของทฤษฎีใหม่ ในขณะที่แนวพระราชดำริเกี่ยวกับทฤษฎีใหม่
หรือเกษตรทฤษฎีใหม่ ซึ่งเป็นแนวทางการพัฒนาการเกษตรอย่างเป็นขั้นตอนนั้น
เป็นตัวอย่างการใช้หลักเศรษฐกิจพอเพียงในทางปฏิบัติที่เป็นรูปธรรมเฉพาะในพื้นที่ที่เหมาะสม
ทฤษฎีใหม่ตามแนวพระราชดำริ อาจเปรียบเทียบกับหลักเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งมีอยู่ 2 แบบ คือ แบบพื้นฐาน กับ แบบก้าวหน้า
ได้ดังนี้ความพอเพียงในระดับบุคคล และครอบครัว
โดยเฉพาะเกษตรกรเป็นเศรษฐกิจพอเพียงแบบพื้นฐานเทียบได้กับทฤษฎีใหม่

ขั้นที่ 1 ที่มุ่งแก้ปัญหาของเกษตรกรที่อยู่ห่างไกลแหล่งน้ำ
ต้องพึ่งน้ำฝน และประสบความเสี่ยงจากการที่น้ำไม่พอเพียง
แม้กระทั่งสำหรับการปลูกข้าวเพื่อบริโภค และมีข้อสมมติว่า มีที่ดินพอเพียงในการขุดบ่อเพื่อแก้ปัญหาในเรื่องดังกล่าว
จากการแก้ปัญหาความเสี่ยงเรื่องน้ำ
จะทำให้เกษตรกรสามารถมีข้าวเพื่อการบริโภคยังชีพในระดับหนึ่ง และใช้ที่ดินส่วนอื่น
ๆ สนองความต้องการพื้นฐานของครอบครัว
รวมทั้งขายในส่วนที่เหลือเพื่อมีรายได้ที่จะใช้เป็นค่าใช้จ่ายอื่น ๆ
ที่ไม่สามารถผลิตเองได้
ทั้งหมดนี้เป็นการสร้างภูมิคุ้มกันในตัวให้เกิดขึ้นในระดับครอบครัว อย่างไรก็ตาม
แม้กระทั่ง ในทฤษฎีใหม่ขั้นที่ 1
ก็จำเป็นที่เกษตรกรจะต้องได้รับความช่วยเหลือจากชุมชนราชการ มูลนิธิ และภาคเอกชน
ตามความเหมาะสมความพอเพียงในระดับชุมชน และระดับองค์กรเป็นเศรษฐกิจพอเพียงแบบก้าวหน้า
ซึ่งครอบคลุมทฤษฎีใหม่
ขั้นที่ 2 เป็นเรื่องของการสนับสนุนให้เกษตรกรรวมพลังกันในรูปกลุ่มหรือสหกรณ์
หรือการที่ธุรกิจต่าง ๆ รวมตัวกันในลักษณะเครือข่ายวิสาหกิจ กล่าวคือ
เมื่อสมาชิกในแต่ละครอบครัว หรือองค์กรต่าง ๆ มีความพอเพียงขั้นพื้นฐานเป็นเบื้องต้นแล้วก็จะรวมกลุ่มกันเพื่อร่วมมือกัน
สร้างประโยชน์ให้แก่กลุ่ม และส่วนรวมบนพื้นฐานของการไม่เบียดเบียนกัน
การแบ่งปันช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ตามกำลังและความสามารถของตน ซึ่งจะสามารถทำให้
ชุมชนโดยรวม หรือเครือข่ายวิสาหกิจนั้น ๆ เกิดความพอเพียงในวิถีปฏิบัติอย่างแท้จริงความพอเพียงในระดับประเทศ
เป็นเศรษฐกิจพอเพียงแบบก้าวหน้า ซึ่งครอบคลุมทฤษฎีใหม่
ขั้นที่ 3 ซึ่งส่งเสริมให้ชุมชน หรือเครือข่ายวิสาหกิจ
สร้างความร่วมมือกับองค์กรอื่นๆในประเทศ เช่น บริษัทขนาดใหญ่ ธนาคาร สถาบันวิจัย
เป็นต้น
การสร้างเครือข่ายความร่วมมือในลักษณะเช่นนี้
จะเป็นประโยชน์ในการสืบทอดภูมิปัญญา แลกเปลี่ยนความรู้ เทคโนโลยี
และบทเรียนจากการพัฒนา หรือ ร่วมมือกันพัฒนา
ตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียงทำให้ประเทศอันเป็นสังคมใหญ่อันประกอบด้วยชุมชน องค์กร
และธุรกิจต่าง ๆ ที่ดำเนินชีวิตอย่างพอเพียงกลายเป็นเครือข่ายชุมชนพอเพียงที่เชื่อมโยงกัน
ด้วยหลักไม่เบียดเบียน แบ่งปัน และช่วยเหลือซึ่งกันและกันได้ในที่สุด
การผลิตตามทฤษฎีใหม่สามารถเป็นต้นแบบการคิดในการผลิตที่ดีได้
ดังนี้
การผลิตนั้นมุ่งใช้เป็นอาหารประจำวันของครอบครัว
เพื่อให้มีพอเพียงในการบริโภคตลอดปี เพื่อใช้เป็นอาหารประจำวันและเพื่อจำหน่ายการผลิตต้องอาศัยปัจจัยในการผลิต
ซึ่งจะต้องเตรียมให้พร้อม เช่น การเกษตรต้องมีน้ำ การจัดให้มีและดูแหล่งน้ำ
จะก่อให้เกิดประโยชน์ทั้งการผลิต และประโยชน์ใช้สอยอื่น ๆปัจจัยประกอบอื่น ๆ
ที่จะอำนวยให้การผลิตดำเนินไปด้วยดี และเกิดประโยชน์เชื่อมโยง (Linkage) ที่จะไปเสริมให้เกิดความยั่งยืนในการผลิต
จะต้องร่วมมือกันทุกฝ่ายทั้ง เกษตรกร ธุรกิจ ภาครัฐ ภาคเอกชน
เพื่อเชื่อมโยงเศรษฐกิจพอเพียงเข้ากับเศรษฐกิจการค้า
และให้ดำเนินกิจการควบคู่ไปด้วยกันได้การผลิตจะต้องตระหนักถึงความสัมพันธ์ระหว่าง
บุคคล กับ ระบบ การผลิตนั้นต้องยึดมั่นในเรื่องของ คุณค่า ให้มากกว่า มูลค่า
ดังพระราชดำรัส ซึ่งได้นำเสนอมาก่อนหน้านี้ที่ว่า
“…บารมีนั้น คือ ทำความดี
เปรียบเทียบกับธนาคาร …ถ้าเราสะสมเงินให้มากเราก็สามารถที่จะใช้ดอกเบี้ย
ใช้เงินที่เป็นดอกเบี้ย โดยไม่แตะต้องทุนแต่ถ้าเราใช้มากเกิดไป หรือเราไม่ระวัง
เรากิน เข้าไปในทุน ทุนมันก็น้อยลง ๆ จนหมด …ไปเบิกเกินบัญชีเขาก็ต้องเอาเรื่อง
ฟ้องเราให้ล้มละลาย เราอย่าไปเบิกเกินบารมีที่บ้านเมือง
ที่ประเทศได้สร้างสมเอาไว้ตั้งแต่บรรพบุรุษของเราให้เกินไป เราต้องทำบ้าง
หรือเพิ่มพูนให้ประเทศของเราปกติมีอนาคตที่มั่นคง บรรพบุรุษของเราแต่โบราณกาล
ได้สร้างบ้านเมืองมาจนถึงเราแล้ว ในสมัยนี้ที่เรากำลังเสียขวัญ กลัว
จะได้ไม่ต้องกลัว ถ้าเราไม่รักษาไว้…”
การจัดสรรทรัพยากรมาใช้เพื่อการผลิตที่คำนึงถึง
คุณค่า มากกว่า มูลค่า จะก่อให้เกิดความสัมพันธ์ระหว่าง บุคคล กับ ระบบ
เป็นไปอย่างยั่งยืน ไม่ทำลายทั้งทุนสังคมและทุนเศรษฐกิจ นอกจากนี้จะต้องไม่ติดตำรา
สร้างความรู้ รัก สามัคคี และความร่วมมือร่วมแรงใจ
มองกาลไกลและมีระบบสนับสนุนที่เป็นไปได้
ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงนี้
ถูกใช้เป็นกรอบแนวความคิดและทิศทางการพัฒนาระบบเศรษฐกิจมหภาคของไทย
ซึ่งบรรจุอยู่ใน แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 10
เพื่อมุ่งสู่การพัฒนาที่สมดุล ยั่งยืน และมีภูมิคุ้มกัน เพื่อความอยู่ดีมีสุข
มุ่งสู่สังคมที่มีความสุขอย่างยั่งยืน หรือที่เรียกว่า "สังคมสีเขียว"
ด้วยหลักการดังกล่าว แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 10
นี้จะไม่เน้นเรื่องตัวเลขการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ
แต่ยังคงให้ความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจแบบทวิลักษณ์
หรือระบบเศรษฐกิจที่มีความแตกต่างกันระหว่างเศรษฐกิจชุมชนเมืองและชนบท[11]
แนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
ยังถูกบรรจุในรัฐธรรมนูญของไทย เช่น รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550
ในส่วนที่ 3 แนวนโยบายด้านการบริหารราชการแผ่นดิน มาตรา 78 (1) ความว่า:
"บริหารราชการแผ่นดินให้เป็นไปเพื่อการพัฒนาสังคม เศรษฐกิจ และความมั่นคง ของประเทศอย่างยั่งยืน
โดยต้องส่งเสริมการดำเนินการตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงและคำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศชาติในภาพรวมเป็นสำคัญ"
การปฏิบัติตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง
ยึดหลักพออยู่ พอกิน พอใช้
ยึดความประหยัด ตัดทอนค่าใช้จ่าย
ลดความฟุ่มเฟือย ในการดำรงชีพ “ความเป็นอยู่ที่ต้องไม่ฟุ้งเฟ้อต้องประหยัดไปในทางที่ถูกต้อง”
ยึดถือการประกอบอาชีพด้วยความถูกต้องและสุจริต
“ความเจริญของคนทั้งหลายย่อมเกิดมาจากการประพฤติชอบ
และการหาเลี้ยงชีพชอบเป็นสำคัญ”
ละเลิกการแก่งแย่งผลประโยชน์และแข่งขันในการค้าขายประกอบอาชีพแบบต่อสู้กันอย่างรุนแรง
“ความสุขความเจริญอันแท้จริง หมายถึง ความสุข ความเจริญ
ที่บุคคลแสวงหามาได้ด้วยความเป็นธรรมทั้งในเจตนาและการกระทำ
ไม่ใช่ได้มาด้วยความบังเอิญหรือด้วยการแก่งแย่งเบียดบังจากผู้อื่น”
มุ่งเน้นหาข้าวหาปลา
ก่อนมุ่งเน้นหาเงินหาทอง
ทำมาหากินก่อนทำมาค้าขาย
ภูมิปัญญาชาวบ้านและที่ดินทำกิน
คือทุนทางสังคม
ตั้งสติที่มั่นคง ร่างกายที่แข็งแรงปัญญาที่เฉียบแหลม
พระบรมราโชวาทคุณธรรม 4 ประการ
พระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเนื่องในพระราชพิธีบวงสรวง
สมเด็จพระบูรพมหากษัติริยาธิราชเจ้า : 5 เมษายน 2525
ประการแรก คือ
การรักษาสัจ
ความจริงใจต่อตัวเอง
ที่จะประพฤติปฏิบัติแต่ส่งที่เป็นประโยชน์และเป็นธรรม
ประการที่สอง
คือ การรู้จักข่มใจตัวเอง ฝึกใจตนเองให้ประพฤติปฏิบัติอยู่ในสัจความดีนั้น
ประการที่สาม คือ
การอดทน อดกลั้น
และอดออมที่จะไม่ประพฤติล่วงความสัจ
สุจริต ไม่ว่าด้วยเหตุประการใด
ประการที่สี่ คือ การรู้จักละวางความชั่ว ความทุจริต และรู้จักสละประโยชน์ส่วนน้อยของตนเพื่อประโยชน์ส่วนใหญ่
ของบ้านเมือง
พระราชดำรัส
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จออกมหาสมาคม ณ
พระที่นั่ง
อนันตสมาคม
เมื่อวันศุกร์ที่ 9 มิถุนายน
2549
ประการแรก คือ การที่ทุกคนคิดพูดทำด้วยความเมตตา มุ่งดีมุ่งเจริญต่อกายต่อใจต่อกัน
ประการที่สอง คือ การที่แต่ละคนต่างช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ประสานงานประสานประโยชน์กัน
ให้งานที่ทำสำเร็จผลทั้งแก่ตนและผู้อื่นและแก่ประเทศชาติ
ประการที่สาม คือ
การที่ทุกคน
ประพฤติปฏิบัติตนสุจริตในกฎกติกาและในระเบียบแบบแผนโดยเท่าเทียมเสมอกัน
ประการที่สี่
การที่ต่างคนต่างพยายามทำความคิดความเห็นของตนให้ถูกต้องเที่ยงตรงและมั่นคง อยู่ในเหตุผล
หากความคิดจิตใจ
และการประพฤตปฏิบัติที่ลงรอยเดียวกัน
ในทางที่ดีที่เจริญนี้ยังมีพร้อมมูลในกายในใจคนไทย
ก็มั่นใจว่าประเทศชาติไทยจะดำรงมั่งคงอยู่ไปได้
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ฯ ได้พระราชทานพระบรมราโชวาท เกี่ยวกับคุณธรรมสี่ประการ
2 ชุด ในสาระที่มีความสำคัญยิ่ง ได้แก่
1.1 คุณธรรม
4 ประการ ชุดแรก
พระราชทานในวโรกาสพระราชพิธีบวงสรวง
สมเด็จพระบูรพกษัตติยาธิราชเจ้า
เมื่อวันที่ 5 เมษายน
2525
1.2 คุณธรรม
4 ประการ ชุดหลัง
พระราชทานในวโรกาสเสด็จออกพระสีหบัญชร
ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม เมื่อวันที่
9 มิถุนายน 2549
คุณธรรมสี่ประการทั้ง 2
ชุดนี้
ได้มีการเผยแพร่อย่างกว้างขวางในสังคมไทย
โดยสามารถจะพัฒนาให้เป็นกระบวนการเรียนรู้
นำไปสู่วิถีเศรษฐกิจพอเพียงตามแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
คุณธรรม
4 ประการชุดแรก จะสอดคล้องกับ
“เศรษฐกิจพอเพียงแบบพื้นฐาน” โดยสามารถขยายให้เป็นขั้นตอนการเรียนรู้ 7
ขั้นตอน
ที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ได้แก่
การจับประเด็นปัญหา
การวิเคราะห์สาเหตุของปัญหา
การกำหนดขอบเขตเป้าหมายในการแก้ปัญหา
การตั้งปณิธานหรือการทำแผนปฏิบัติ
การข่มใจให้ดำรงความมุ่งมั่นการอดทนอดกลั้น และการอดออม
ตลอดจนการสรุปประเมินผลสำเร็จ อันจะเป็นเครื่องมือที่นำไปสู่การเข้าถึงวิถีแห่งปรัชญาของ
เศรษฐกิจพอเพียง
คุณธรรม 4
ประการชุดหลังจะสอดคล้องกับ “เศรษฐกิจพอเพียงแบบก้าวหน้า” ที่ต่อยอดมาจากเศรษฐกิจพอเพียงแบบพื้นฐาน
โดยเชื่อมโยงกลุ่มคนที่สามารถพึ่งตนเองได้ในระดับหนึ่ง ตามหลักเศรษฐกิจพอเพียงแบบพื้นฐาน (ซึ่งสอดคล้องกับเกษตรทฤษฎีใหม่ ขั้นที่
1 ที่เน้นการพึ่งตนเอง หรืออาจเรียกว่า เป็นเศรษฐกิจพอเพียงขั้นที่ 1)
แล้วให้มีการรวมกลุ่มช่วยเหลือเกื้อกูลกัน
(อันสอดคล้องกับ
เกษตรทฤษฎีใหม่ขั้นที่ 2 ที่เรียกว่า
เป็นเศรษฐกิจพอเพียงขั้นที่
2)
จากนั้นก็ถักทอกันเป็นเครือข่ายที่กว้างออกไป (อันสอดคล้องกับเกษตรทฤษฎีใหม่ขั้นที่ 3
หรือเรียกได้ว่าเป็นเศรษฐกิจพอเพียงขั้นที่ 3)
บันได 7 ขั้นสู่วิถีเศรษฐกิจพอเพียง
การประพฤติปฏิบัติตามแนวทางพระบรมราโชวาทคุณธรรม 4
ประการ
เพื่อนำไปสู่วิถีแห่งปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง สุนัย
เศรษฐ์บุญสร้างได้เสนอแนวทางสู่วิถีแห่งปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงไว้ 7
ขั้นตอน ดังนี้
1. จับประเด็นปัญหา
2. วิเคราะห์สาเหตุของปัญหา
3. กำหนดขอบเขตเป้าหมายในการแก้ปัญหา
4. กำหนดแผนการปฏิบัติหรือตั้งปณิธาน
5. ดำรงความมุ่งหมาย
6. ใช้ความอดทนอดกลั้น และอดออม
7. สรุปประเมินผล
(ในการละวาง ความชั่วทุจริต)
1. จับประเด็นปัญหา
ชีวิตคือการเผชิญกับปัญหาและการแก้ไขปัญหาต่างๆ อยู่ตลอดเวลา
เช่น เมื่อหิวก็เป็นปัญหา
เมื่อเจ็บป่วยก็เป็นปัญหาเมื่ออดหลับอดนอนก็เป็นปัญหา ฯลฯ
ถ้าเราสามารถแก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้อย่างเป็นปรกติทุกวัน มีอาหารกินอิ่ม นอนหลับ
ขับถ่ายปรกติ
ไม่เจ็บไข้ได้ป่วยเราก็ไม่รู้สึกว่าเป็นปัญหาอะไร
เพราะสามารถแก้ไขปัญหาในชีวิตประจำวันเหล่านี้ได้โดยไม่ยากได้โดยไม่ลำบาก
2.
วิเคราะห์สาเหตุของปัญหา
ปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นแต่ละเรื่องนั้น จะมีองค์ประกอบ 2
ส่วนใหญ่ ๆ
คือเกิดจากตัวแปรของเหตุปัจจัยภายนอกที่เราควบคุมกำหนดอะไรไม่ได้มากนัก อาทิ
น้ำท่วม ภัยแล้ง ราคาผลผลิตตกต่ำ ฯลฯ กับตัวแปรของเหตุปัจจัยภายในที่ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมทางกาย วาจา
ใจ ของตัวเราเองอันเป็นสิ่งที่เราสามารถควบคุมกำหนดและเปลี่ยนแปลงแก้ไขได้
3.
กำหนดขอบเขตเป้าหมายในการแก้ปัญหา
เมื่อวิเคราะห์สาเหตุของปัญหาจากในมิติของสิ่งที่เราสามารถควบคุมการเปลี่ยนแปลงแก้ไขได้แล้ว
ก็ต้องกำหนดขอบเขตทิศทางการแก้ไขปัญหาให้อยู่ในกรอบของ “สิ่งที่เป็นประโยชน์และเป็นธรรม” ด้วย
เพื่อให้เป็นไปในทิศทางที่เกิดประโยชน์ทั้งในระยะสั้นและระยะยาวอย่างยั่งยืน หรือเป็นประโยชน์ทั้งต่อตนเองและผู้อื่น ( win win situation
)
4. เขียนคำปณิธานหรือทำแผนปฏิบัติ เมื่อสามารถกำหนดขอบเขตเป้าหมายในการแก้ไขปัญหาอย่างกว้าง ๆ ได้แล้ว
ขั้นต่อไปก็เลือกประเด็นของสิ่งที่ตั้งใจจะประพฤติปฏิบัติหรือทำแผนปฏิบัติเพื่อนำไปสู่วิถีเศรษฐกิจพอเพียงต่อไป
ขั้นตอนการปฏิบัติสู่วิถีเศรษฐกิจพอเพียงขั้นตอนนี้จะเป็นไปตามɦระบรมราโชวาทคุณธรรม
4 ประการ
ข้อแรก คือ “การรักษาความสัจ
ความจริงใจต่อตนเองที่จะประพฤติปฏิบัติแต่สิ่งที่เป็นประโยชนและเป็นธรรม”
5. ดำรงความมุ่งหมาย เมื่อกำหนดปณิธานหรือเขียนแผนปฏิบัติในสิ่งที่ตั้งใจจะประพฤติปฏิบัติแล้ว
ก็ต้องพยายามดำรงความมุ่งหมายที่จะประพฤติปฏิบัติให้ได้ตามปณิธานหรือแผนนั้น
ๆ โดยอาจจะใช้เทคนิควิธีการต่าง ๆ
ช่วยเตือนตนเองหรือชุมชนให้ดำรงความมุ่งหมายที่จะปฏิบัติตามสิ่งที่ตั้งใจไว้อย่างต่อเนื่องจนบรรลุผล เช่นเขียนคำปณิธานตัวโต ๆ ติดไว้ข้างฝาผนังห้องนอนที่บ้าน หรือ เขียนคำขวัญติดในที่ต่าง ๆ ของชุมชน
เพื่อกระตุ้นเตือนผู้คนให้ช่วยกันปฏิบัติตามปณิธานที่ตั้งใจไว้
หรือตั้งสัจจะอธิษฐานต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ตนเคารพบูชา หรืออาจจะจัดเป็นพิธีกรรมประกาศตั้งปณิธานร่วมกันต่อหน้าสิ่งที่ผู้คนเคารพนับถือ อาทิ
ต่อหน้าพระบรมสาทิสลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เป็นต้น การปฏิบัติในขั้นตอนนี้จะเป็นไปตามพระบรมราโชวาทเรื่องคุณธรรม 4
ประการข้อที่สอง คือ “การรู้จักข่มใจตนเองฝึกใจตนเอง
ให้ประพฤติปฏิบัติอยู่ในสัจความดีนั้น”
6.
ใช้ความอดทน อดกลั้น และอดออม นอกเหนือจากการข่มใจตนเองให้ดำรงความมุ่งหมายที่จะประพฤติปฏิบัติตามปณิธานที่วางไว้ให้ต่อเนื่องแล้ว เมื่อประพฤติปฏิบัติไปถึงจุด ๆ หนึ่ง
โดยปรกติก็มักจะเผชิญกับอุปสรรค
ปัญหาต่างๆ
มากบ้างน้อยบ้างเป็นธรรมดา
ในการต่อสู้กับอุปสรรคปัญหาเหล่านั้นจะต้องอาศัย “กำลังของจิตใจ”
อันคือความอดทนอดกลั้นเข้าช่วย
ควบคู่กับการอาศัย “กำลังของปัญญา”
อันคือความอดออมเข้าเสริม (
เหมือนเช่นที่เราเก็บออมเงินไว้ได้
ก็เพราะมีปัญญามองเห็นความจำเป็นอันอาจจะต้องใช้จ่ายเงินดังกล่าวในอนาคต เป็นต้น )
การใช้ “กำลังของจิตใจ” โดยอาศัยความอึด ความอดทน
อดกลั้นเข้าสู้กับปัญหา ควบคู่กับ
การใช้ “กำลังของปัญญา” พิจารณาให้เห็นคุณค่าของสิ่งที่กำลังประพฤติปฏิบัตินั้น ๆ จนสามารถเอาชนะอุปสรรคปัญหาต่าง ๆ
ที่เผชิญได้เป็นผลสำเร็จก็คือขั้นตอนการปฏิบัติสู่วิถีเศรษฐกิจพอเพียง
ตามพระบรมราโชวาทคุณธรรม 4 ประการในข้อที่สาม ได้แก่
“การอดทน อดกลั้น และอดออม
ที่จะไม่ประพฤติล่วงความสัจสุจริตไม่ว่าด้วยเหตุประการใด”
7. ละวางความชั่วความทุจริต
ถ้าสามารถประพฤติปฏิบัติมาได้ถึงขั้นสุดท้าย จนบรรลุเป้าหมายตามปณิธานที่กำหนดไว้
ในแต่ละเรื่อง
ความชั่วความทุจริตก็จะถูกสำรอกกำจัดให้หมดไปเป็นลำดับ ๆ เหมือนความมืดกับ ความสว่างที่เป็น 2
ด้านของสิ่งเดียวกัน
ถ้าสามารถทำให้ความสว่างเกิดขึ้นได้มากเท่าใด ความมืดก็จะลดลงไปเองมากเท่านั้น สุดท้ายเมื่อสามารถคลี่คลายแก้ปัญหาของชีวิตตนเองหรือชุมชนได้ลดน้อยลง
ได้แล้ว เราก็จะมีเวลา แรงงาน
เงินทอง
หรือสติปัญญาเหลือสำหรับการช่วยเหลือเกื้อกูลคนอื่นได้มากขึ้น
จากขั้นตอนของการประพฤติปฏิบัติ 7
ขั้น
ตามแนวพระบรมราโชวาทเรื่องคุณธรรมสี่ประการ สู่วิถีแห่งปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงดังที่กล่าวมา จะเห็นได้ว่ากระบวนการประพฤติปฏิบัติตามแนว
บรมราโชวาทนี้มีลักษณะคล้ายคลึงกับกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งอาศัยการสังเกตปรากฏการณ์ การตั้งสมมติฐาน การลงมือทดลองปฏิบัติเพื่อพิสูจน์สมมติฐาน และการสรุปผล โดยกระบวนการ ทางวิทยาศาสตร์ที่ดูง่าย ๆ
มีเพียงไม่กี่ขั้นตอนแต่เมื่อสามารถนำไปประยุกต์ใช้อย่างเหมาะสม
ก็มีศักยภาพอันยิ่งใหญ่ที่สามารถเปลี่ยนแปลงอารยธรรมของมนุษย์อย่างไพศาลมาได้ฉันใด
การประพฤติปฏิบัติตามแนวพระบรมราโชวาทที่เป็น “วิทยาศาสตร์ของชีวิตและสังคม” ดังที่กล่าวมา ก็เป็นกระบวนการที่มีพลังอันไพศาลดุจเดียวกับกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ที่เราคุ้นเคยกันซึ่งถ้าปฏิบัติได้สำเร็จก็จะเป็นไปตามบทสรุปในพระบรมราโชวาทคุณธรรม 4
ประการที่ว่า “คุณธรรมสี่ประการนี้
ถ้าแต่ละคนพยายามปลูกฝังและบำรุงให้เจริญงอกงามขึ้นโดยทั่วกันแล้ว จะช่วยให้ประเทศชาติบังเกิดความสุข ความร่มเย็น
และมีโอกาสที่จะปรับปรุงพัฒนาให้มั่นคงก้าวหน้าต่อไปได้ดังประสงค์”
แหล่งที่มา: http://www.chaoprayanews.com
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น