วันพฤหัสบดีที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2556

เอกลักษณ์ประจำชาติของไทย


                                เอกลักษณ์ประจำชาติของไทย 
                                  

เอกลักษณ์ประจำชาติของไทยอย่างหนึ่งที่แสดงถึงความสวยงาม ร่มเย็น คือ ดอกไม้ เดิมไม่มีการบันทึกแน่ชัดว่าเป็นดอกไม้ชนิดใดคือดอกไม้ประจำชาติไทยเพียงแต่ต่อพูดกันต่อๆมาว่า ดอกราชพฤกษ์หรือชัยพฤกษ์ น่าจะเป็นดอกไม้ประจำชาติไทย

คณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบและออกประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง การกำหนดสัญลักษณ์ประจำชาติไทย ๓ สิ่ง
ลงนามโดยพันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ ๒๖ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๔๔ คือ

                                                                        สัตว์ประจำชาติไทย คือ ช้างไทย
                                             




                                                         ดอกไม้ประจำชาติ คือ ดอกราชพฤกษ์ (คูน)


                                                         


                                                              สถาปัตยกรรมประจำชาติ คือ ศาลาไทย

                                                 

                        ในเบื้องต้น กระทรวงเกษตร กรมป่าไม้ ได้จัดประชุมเรื่อง การกำหนดต้นไม้และสัตว์ประจำชาติ ครั้งที่ ๒/๒๕๐๖ เมื่อวันที่ ๑๓ มีนาคม ๒๕๐๖ และมีมติเป็นเอกฉันท์ให้กำหนดต้นราชพฤษ์หรือคูณ เป็นต้นไม้ประจำชาติ ต่อมาเมื่อวันที่ ๒๔ พฤษภาคม ๒๕๔๔ คณะกรรมการเอกลักษณ์ของชาติ ร่วมกับ กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงศึกษาธิการ ได้ประชุมเรื่องการกำหนดเอกลักษณ์ประจำชาติไทยในเรื่องดอกไม้ประจำชาติ และได้ให้เหตุผลในการเลือกดอกราชพฤกษ์ (คูณ) Ratchaphruek (Cassia Fistula Linn.) เป็นดอกไม้ประจำชาติ เพื่อส่งเสริมสัญลักษณ์ประจำชาติไทย และเพิ่มประสิทธิภาพการประชาสัมพันธ์ส่งเสริมภาพลักษณ์ของประเทศไทยให้มีผลระยะยาว ด้วยเหตุผลตามผลสรุปของการศึกษาและรวบรวมข้อมูลของกรมป่าไม้ กระทรวงเกษตรว่า

ราชพฤกษ์ เป็นต้นไม้พื้นเมืองที่รู้จักกันแพร่หลายสามารถขึ้นได้ทุกภาคของประเทศไทย
ราชพฤกษ์ ใช้ประโยชน์ได้มากเช่นฝักเป็นสมุนไพรที่มีค่ายิ่งในตำหรับแพทย์แผนโบราณและแก่นแข็งใช้ทำเสาเรือนได้ดี
ราชพฤกษ์ มีประวัติเกี่ยวข้องกับประเพณีของชาวไทยเพราะเป็นไม้ที่มีชื่อเป็นมงคลนามและอาถรรพ์ ก่นไม้ชัยพฤษ์เคยใช้พิธีสำคัญๆ มาก่อนเช่น พิธีลงหลักเมืองใช้เป็นเสาเอกในการก่อสร้างพระตำหนัก ทำคธาจอมพลและยอดธงชัยเฉลิมพลของกองทหาร นอกจากนี้อินทรธนูของข้าราชการพลเรือนก็จำลองจากช่อชัยพฤษ์เป็นเครื่องหมาย
ราชพฤกษ์ มีอายุยืนนานและทนทาน
ราชพฤกษ์ มีทรวดทรงและพุ่มงามมีดอกเหลืองอร่ามเต็มต้น เป็นสัญลักษณ์แห่งพุทธศาสนา
คณะกรรมการอำนวยการปลูกต้นไม้แห่งชาติได้มีการเชิญชวนให้มีปลูกต้นราชพฤกษ์ จำนวน ๙๙,๙๙๙ ต้น ทั่วราชอาณาจักรเพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในวโรกาสทีทรงเจริญพระชนมพรรษา ๕ รอบ  


                                            

                                              ราชพฤกษ์ 
                 
    ราชพฤกษ์ 
                    เป็นไม้จำพวก Cassia มีชื่อเรียกว่า Cassia Donosa ลำต้น ตอนโคน มีข้อแหลม ๆ ดอก สีชมพูแก่ ออกดอก เมื่อผลิใบอ่อน ดอกไม่ดก ฝักเล็ก ขนาด ฝักคูน สีดำเกลี้ยง ไม่มีขนใบเล็ก บาง ไม่มีขนในประเทศไทยพบขึ้นทั่วไปตามป่าเบญจพรรณทั่วประเทศ กระจายพันธุ์ไปในป่าเต็งรังมีมากทางเหนือและอีสาน นิยมปลูกเป็นไม้ประดับ ทางอีสานเรียกว่า"ต้นคูน" ราชพฤกษ์เป็นไม้ต้นขนาดเล็กถึงขนาดกลาง ผลัดใบสูง ๕-๑๕ เมตร ลำต้นค่อนข้างเปลาตรงเปลือกนอกสีเทาอมน้ำตาล สีเทาอมขาวหรือสีนวล เรียบ เกลี้ยงหรือแตกล่อนเป็นสะเก็ดโตๆ บ้าง เปลือกในสีเหลือง เรือนยอดรูปไข่หรือรูปร่ม ค่อนข้างทึบ แตกกิ่งต่ำ แผ่กว้าง ให้ร่มเงาดี เนื้อไม้แปรรูปใช้ทำเสา สากตำข้าว ล้อเกวียน คันไถ เครื่องกลึง ชาวเหนือและชาว อีสานนิยมใช้เปลือก เนื้อไม้ และผลมาทำสีย้อมให้สีเหลือง ใช้ในการย้อมผ้าฝ้ายและผ้าไหม (ข้อมูลจาก หนังสือต้นไม้ยาน่ารู้ ของ ธงชัย เปาอินทร์ )

ข้อมูลจำเพาะของราชพฤกษ์
ชื่อวิทยาศาสตร์ Cassia fistula Linn
ชื่อวงศ์ CAESALPINIACEAE
ชื่อสามัญ Golden Shower, Indian Laburnum, Pudding-Pine Tree, Purging Cassia
ชื่อท้องถิ่น ภาคเหนือ เรียก ลมแล้ง
ภาคใต้ เรียก ราชพฤกษ์
ปัตตานี เรียก ลักเกลือ ลักเคย
ภาคกลาง เรียก ชัยพฤกษ์ ราชพฤกษ์
กะเหรี่ยง-กาญจนบุรี เรียก กุเพยะ
กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน เรียก ปือยู , ปูโย , เปอโซ , แมะหล่า อยู่
อีสาน เรียก คูน

ลักษณะทั่วไป ราชพฤกษ์เป็นไม้ยืนต้นสูงได้ถึง ๑๕ เมตร เปลือกต้นสีเทา ผิวเรียบ ใบ เป็นใบประกอบ ที่ปลายก้านใบเป็นคู่ ใบย่อยเป็นรูปไข่ ปลายใบแหลม เนื้อใบเกลี้ยงค่อนข้างบางหูใบมีขนาดเล็กและร่วงง่าย ดอกออกเป็นช่อห้อยระย้าจากซอกใบ ช่อดอกมีกลีบเลี้ยง ๕ กลีบ มีแผ่นบางๆ ยาว ๑.๑๕ ซม.กลีบดอกมี ๖ กลีบ สีเหลืองสดปลายมนเห็นเส้นลายชัดเจน ผล เป็นฝักทรงกระบอกเปลือกนอกบางและแข็งเหมือนไม้ เรียบไม่มีขนยาว ๒๐ - ๖๐ ซม. มีเส้นผ่าศูนย์กลาง ๑.๕ - ๒ ซม. ภายในแบ่งเป็นช่องๆ มีเมล็ดรูปรีแบนสีน้ำตาลจำนวนมาก

การปลูก เพาะเมล็ดให้ได้ต้นกล้าสูง ๓๐ - ๕๐ ซม. ขุดหลุมกว้างและลึก ๕๐ - ๗๐ ซม. ตากดินไว้ ๑๐- ๑๕ วันใช้ปุ๋ยคอกรองก้นหลุมนำต้นกล้าลงปลูก กลบดินให้แน่น รดน้ำให้ชุ่ม ปลูกง่าย ไม่ช้าก็จะตั้งตัวได้

สรรพคุณทางยา
ฝัก รสหวานอมเปรี้ยวเล็กน้อย มีกลิ่นเหม็นเอียน เย็นจัด ไม่มีพิษสรรพคุณใช้ขับเสมหะ ขับพยาธิ แก้เด็กเป็นตานขโมย เป็นยาถ่ายและแก้ไข้มาลาเรีย
เนื้อในฝัก รสหวานเอียน ใช้เป็นยาถ่ายพยาธิ ยาระบาย แก้ไข้มาลาเรีย แก้ปวดข้อ
เมล็ด เมล็ดเป็นยาระบายและทำให้อาเจียน
ดอก ดอก รสขมเปรี้ยว เป็นยาถ่ายแก้โรคเกี่ยวกับกระเพาะอาหารและแผลเรื้อรัง
ใบอ่อน รสเมา แก้กลาก

ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ เนื้อในฝักคูนมีสารประเภท Anthraqinones หลายตัว เช่น Aloin, Rhein, Sennoside A, B และยังมี Organic acid สาร Anthraquinone ทำให้เนื้อฝักคูนมีฤทธิ์เป็นยาระบายได้ โดยมีฤทธิ์ไปกระตุ้นการบีบตัวของลำไส้ เหมาะสำหรับผู้ที่ท้องผูกเป็นประจำ
ที่มา : สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม

http://www.culture.go.th/knowledge/story/nation/nation.html

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น